วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ประวัติความของมหาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

ประวัติความเป็นมาของมหาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2511 ภายใต้เจตนารมณ์ของ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ และอาจารย์สนั่น เกตุทัต โดยใช้ชื่อสถาบัน "ธุรกิจบัณฑิตย์" ตั้งอยู่ริมคลองประปา ถนนพระราม 6 สามเสน ในยุคเริ่มต้น ต่อมาจึงเปลี่ยนสถานภาพเป็นวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ในปี พ.ศ. 2513 และเลื่อนฐานะเป็น "มหาวิทยาลัย" ในปี พ.ศ. 2527
ต่อ มาได้เปลี่ยนสถานภาพเป็นวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ในปี พ.ศ. 2513 และเลื่อนฐานะเป็น “มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์” ในปี พ.ศ. 2527 ด้วยพัฒนาการที่ไม่หยุดยั้งผนวกกับการขยายตัวของระบบการศึกษาในประเทศใน ปี พ.ศ. 2532 มหาวิทยาลัยได้ย้ายสถานที่ตั้งมาอยู่ที่ริมคลองประปา ถนนประชาชื่น บนเนื้อที่กว่า เกือบ 100 ไร่ เพื่อก่อสร้างอาคารเรียนและอาคารปฏิบัติการทางการเรียนการสอนที่ทันสมัยรวม ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกในรูปแบบที่เอื้อประโยชน์ต่อนักศึกษาอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้สภาวะแวดล้อมที่สวยงาม

และร่มรื่น
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทยที่ได้รับรอง ISO 9001 : 2008 ทั้งระบบ ทุกคณะวิชา ทุกหน่วยงาน ในองค์กร มหาวิทยาลัยถือเป็นมหาวิทยาลัยที่มีสภาวะแวดล้อมสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของสถานศึกษาในประเทศไทย ภายใต้ปรัชญาการดำเนินงานที่ว่า "นักธุรกิจเป็นผู้สร้างชาติ" โดยมี ดร.อรัญ ธรรมโน เป็นนายกสภามหาวิทยาลัย และ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ เป็นอธิการบดี

จุดกำเนิดของสถาบัน

การก่อตั้งสถาบันการศึกษาให้มีชื่อเสียง เป็นที่ยอมรับของสังคมได้ ผู้ก่อตั้งสถาบันนอกจาจะต้องมีความรู้ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ที่เหมาะสมแล้ว ยังต้องมีทุนทรัพย์มากพอเพียงด้วย ยังต้องมีทุนทรัพย์มากพอเพียงด้วย ดังนั้น จึงค่อนข้างเป็นเรื่องที่ลำบอกในการดำเนินงาน แต่มิได้หมายความว่าจำทำไม่ได้ ถ้าหากมีความมุ่งมั่นสูง
สิ่งแรกที่จะต้องดำเนินการคือ การจัดหาสถานที่ก่อนที่ตั้งสถาบันการศึกษา ในการนี้จำเป็นต้องขอกู้เงินจากธนาคารเพื่อซื้อที่ดินมาสำหรับปลูกสร้างอาคาร ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก
หลังจากพยายามเลือกหาที่ดินที่เหมาะสมอยู่หลายที่ ในที่สุดได้ตัดสินใจซื้อที่บริเวณพระราม ๖ ริมคลองประปา สามเสนซึ่งเป็นที่ดินของคุณหญิงสายศรี สกลไกรนุชิต มีเนื้อที่เพียง ๑ ไร่แล้วเริ่มก่อสร้างอาคารเรียนบนที่ดินแปลงนั้นขณะเดียวกันได้ยื่นเรื่องต่อกระทรวงศึกษาธิการขอจัดตั้งสถาบันการศึกษาเอกชน


ผมกับอาจารย์ไสว ต่างมีเงินคนละไม่มากพอที่จะซื้อที่ดินและปลูกสร้างอาคารได้ จึงต้องไปขอกู้ยืมธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารกรุงเทพ มาซื้อที่ดิน และปลูกสร้างอาคารหลังแรกที่ถนนพระราม ๖ ริมคลองประปาสามเสน
ต่อมา เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๑ กระทรวงศึกษาธิการได้อนุญาตให้เปิดการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษาหลักสูตร ๓ ปี และรับอาชีวศึกษาหลักสูตร ๒ ปี โดยให้รับผู้จบ ม.ศ. ๕ หรือเทียบเท่า เข้าศึกษาต่อใน “โรงเรียนธุรกิจบัณฑิตย์” ซึ่งตั้งอยู่ ณ เลขที่ ๗๓ ถนนพระราม ๖ ริมคลองประปา สามเสน กรุงเทพมหานคร
จากนั้น เมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ปีเดียวกัน “โรงเรียนธุรกิจบัณฑิตย์” ได้ขอเปลี่ยนสถานภาพเป็น ”สถาบันธุรกิจบัณฑิตย์” และทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยมี นายทวี บุณยเกตุ อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธี ดังนั้น วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ของทุกปี จึงถือเป็นวันสถาปนาของสถาบันการศึกษาแห่งนี้ตราบจนถึงปัจจุบัน


ชื่อสถาบันและตราประจำสถาบัน





คำว่า “ธุรกิจบัณฑิตย์” ซึ่งเป็นชื่อของมหาวิทยาลัย หมายถึงความรอบรู้ทางด้านธุรกิจ ส่วนดวงตราประจำสถาบัน เป็นรูปพระสิทธิธาดา ประทับนั่งบนแท่น มีวงกลมล้อมรอบ ๒ ชั้น ขอบของวงกลมนอก ประดับด้วยกลีบบังซ้อนกันรวม ๓๒ กลีบ ระหว่างวงกลมนอกกับวงวกลมใน มีนพรัตน์หรือวงแก้ว ๙ ดวง วางอยู่ห่างกันเป็นช่วงเท่า ๆ กัน

ทั้งชื่อสถาบันและตราประจำสถาบัน อาจารย์ ดร.ไสว สุทธิพิทักษ์ เป็นผู้คิดขึ้นโดยขอคำปรึกษาจากพระยาอนุมานราชธน นักปราชญ์คนสำคัญของเมืองไทย ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของอาจารย์ ดร.ไสวดังข้อความที่ปรากฏในจดหมายลงวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่อาจารย์ ดร.ไสว เขียนไปถึงพระยาอนุมานราชธน ว่า “เรื่องที่กระผมขอรบกวนท่านอาจารย์มีดังนี้

๑. เรื่องชื่อสถาบัน กระผมตั้งใจว่าจะใช้ชื่อ “ธุรกิจบัณฑิตย์วิทยาลัย” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า COLLEGE OF BUSINESS ADMINISTRATION
เหตุผล : คำ BUSINESS นี้ ตรงกับคำว่า ธุรกิจ
คำ บัณฑิตย์ แปลว่า ความรู้
ธุรกิจบัณฑิตย์ แปลว่า ความรู้ทางธุรกิจ
๒. เรื่องตราหรือเครื่องหมายของสถาบัน กระผมตั้งใจจะใช้ตราหรือเครื่องหมายพระสิทธิธาดา
เหตุผล : กระผมค้นจากเรื่อง “พระคเณศ” ซึ่งท่านอาจารย์และนาคะประทีป เขียนไว้ในวารสารศิลปากร ปีที่ ๑ เล่มที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๘๐ ว่า “….พระคเณศเป็นเทพประจำความขัดข้อง และเป็นผู้อำนวยความสำเร็จให้แก่กิจกรรมต่าง ๆ…”


ความหมายของตราประจำสถาบัน

พระสิทธิธาดาซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญของตราประจำสถาบัน เป็นปางหนึ่งของพระคเณศ เทพเจ้าแห่งความสำเร็จและปัญญา
พระคเณศมีเศียรเป็นช้าง มีร่างเป็นมนุษย์ ส่วนพระสิทธิธาดามีร่างกเป็นร่างเป็นมนุษย์ทั้งหมด มีกายสีทองและสีเขียว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พระสิทธิธาดาเป็นปางหนึ่งของพระคเณศที่มีร่างเป็นมนุษย์นั่นเอง
ส่วนประกอบของตราประจำสถาบัน ซึ่งมีกลีบบัวซ้อนกัน ๓๒ กลีบ มีวงกลมวงนอก แล้วแก้ว ๙ดวง หรือนพรัตน์ ระหว่างวงกลมวงนอกกับวงกลมวงในนั้น มีความหมายดังนี้
กลีบบัวซ้อนกัน ๓๒ กลีบ ดอกบัว หมายถึง ความงาน ความดี ความเจริญ และคุณธรรม จำนวน ๓๒ หมายถึง อาการครบถ้วนบริบูรณ์ ๓๒ ประการของมนุษย์ ฉะนั้น กลีบบัวซ้อนกัน ๓๒ กลีบจึงเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ และถูกต้องดีงาม

แก้ว ๙ ดวง หรือ นพรัตน์ หมายถึง คุณสมบัติสำคัญที่นักธุรกิจที่ดีพึงมี ประกอบด้วยแก้วดวงต่างๆ ดังนี้

ดวงที่ ๑ มีความรู้ในเรื่องภาษาดี
ดวงที่ ๒ มีความรู้หรือวิชาการต่างๆ ในด้านธุรกิจ
ดวงที่ ๓ มีความสามารถใช้ความรู้นั้น ๆ
ดวงที่ ๔ มีความคิดก้าวหน้า
ดวงที่ ๕ มีความขยันขันแข็ง เอาใจใส่ และอดทน
ดวงที่ ๖ มีมารยาทอันดีงาม และมีความซื่อสัตย์สุจริต
ดวงที่ ๗ มีความรับผิดชอบในหน้าที่
ดวงที่ ๘ รู้จักใช้โอกาส
ดวงที่ ๙ มีประสิทธิภาพในการปฏิบัติหน้าที่

สีประจำสถาบัน

สีประจำสถาบันคือ ม่วง – ฟ้า
ม่วง หมายถึง อุตสาหกรรม คือ การกระทำสิ่งของให้เป็นสินค้า
สีฟ้า หมายถึง พาณิชยกรรม คือการค้า
ดังนั้น สีม่วง – ฟ้า หมายถึงการปฏิบัติทางธุรกิจ

ต้นไม้ประจำสถาบัน
ต้นไผ่

วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ท่องเที่ยว"ทะเลใต้"จังหวัดสุราษร์ธานี

มารู้จักเกาะพะงันกันเถอะ





  • ที่ตั้งและขนาด
    อำเภอเกาะพะงันเป็นอำเภอหนึ่งซึ่งมีพื้นที่น้อยที่สุด ของจังหวัด สุราษฎร์ธานี อยู่ห่างจาก ตัวจังหวัดไปทางทิศตะวันออกในอ่าวไทย ประมาณ 100 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอเกาะสมุย ประมาณ 15 กิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ คือเกาะพะงัน มีพื้นที่ 168 ตารางกิโลเมตร และเกาะเต่า 25 ตารางกิโลเมตร (รวม 193 ตารางกิโลเมตร)
  • ลักษณะภูมิประเทศ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ชายหาด ที่ราบมีเพียง 1 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด มีสันทราย และแนวหินปะการังที่เรียกว่า "คันนา" รอบ ๆ เกาะ พื้นที่เป็นหินและดินที่พังทะลายได้ง่าย ภูเขาสูงได้แก่ เขาไม้งาม เขาตาหลวง เขาไม้แก้ว

  • ลักษณะภูมิอากาศ
    เกาะพะงันได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมทั้ง 2 ด้าน คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ฤดูกาลแบ่งออกเป็น 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน
    -ฤดูร้อน ตั้งแต่ เดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน เป็นช่วงปลายลมมรสุม ตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศจะคลายความชุ่มชื้น ประกอบกับมีกระแส น้ำอุ่นพัดจากทะเลจีนใต้ ทำให้มีฝนตกน้อย และอุณหภูมิสูงขึ้น แต่คลื่นลมสงบ น้ำทะเลใส เหมาะแก่การท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง

    -ฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ถึงมกราคม สำหรับช่วงเดือนพฤษภาคม ถึงตุลาคมเป็นช่วงลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้มีฝนตกชุกไปจนถึง เดือนมกราคมของทุกปี โดยเฉพาะเดือนพฤศจิกายน มีจำนวน วันที่ฝนตกโดยเฉลี่ยถึง 20.2 วันต่อเดือน ปริมาณน้ำฝน 1,919.2 มิลลิเมตรต่อปี
    เขตการปกครอง
    แบ่งเป็น 3 ตำบล 17 หมู่บ้าน คือ ต.เกาะพะงัน 8 หมู่บ้าน ต.บ้านใต้ 6 หมู่บ้าน และเกาะเต่า 3 หมู่บ้าน มีเทศบาล 1 แห่ง คือ เทศบาลตำบลเกาะพะงัน
    ประชากร
    จำนวน 8,431 คน เป็นชาย 4,148 คน หญิง 4,183 คน มีครัวเรือน 2,579 ครัวเรือน
    อาชีพ
    ส่วนใหญ่ทำสวนมะพร้าว สวนผลไม้ ประมง ธุรกิจบังกะโล และการท่องเที่ยว ค้าขาย


  • สภาพทางเศรษฐกิจ
    ประชากรร้อยละ 90 ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำสวนมะพร้าว เลี้ยงสัตว์ในครัวเรือน สวนผลไม้ ส่วนการประมงก็เป็นประมงชายฝั่ง มีเรือจับปลาหมึกเป็นหลัก อาชีพธุรกิจการท่องเที่ยว ร้อยละ 5 และอื่น ๆ อีกร้อยละ 5 ธนาคารพาณิชย์ 6 แห่ง รายได้เฉลี่ย 36,000 บาทต่อคนต่อปี

จะไปเที่ยวเกาะพะงันได้อย่างไร




ตารางเวลาเดินเรือ
เกาะพะงันใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมงครึ่งจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยนั่งรถ โดยสารมาขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่


อ.ดอนสัก
จากกรุงเทพมหานคร
แบบสะดวกสบายที่ 1


จองตั๋วเครื่องบินสายการบิน (call center 1771) หรือ Thai Airlines (call center 02-256 1111) มาลงที่เกาะสมุย แล้วซื้อตั๋วเรือและรถจาก Limousine counter ในสนามบินซึ่งจะพาคุณมาถึง เกาะพะงันได้อย่างง่ายดาย


แบบสะดวกสบายที่ 2

จองตั๋วเครื่องบิน Airasia.com (call center 02-515 9999), 12Go Airlines (call center: 1126) หรือ Thai Airways (call center 02-256 1111) ซึ่งมีเที่ยวบินจากกรุงเทพมหานคร มาลงที่จังหวัด สุราษฎร์ธานีทุกวัน , จากนั้นก็ซื้อตั๋วรถและเรือจาก information counter ในสนามบินมายังเกาะพะงัน ทางนี้จะใช้เวลานานกว่าวิธีแรก
แบบประหยัด



โดยรถประจำทาง
ซื้อตั๋วรถทัวร์วีไอพี หรือธรรมดาจากสถานีขนส่งสายใต้ใหม่ รถจะออกเวลา 19.50 น. รถที่ตรงมาเกาะพะงันจะลงมากับเรือเฟอร์รี่ด้วย และมาถึงเกาะ พะงันประมาณ 10.30 ของวันรุ่งขึ้น


โดยรถไฟ
ซื้อตั๋วรถไฟจากสถานีหัวลำโพง จะมีตั๋วตรงมาเกาะพะงัน โดยจะรวมค่าเรือ ค่ารถไปท่าเรือเรียบร้อยแล้ว ติดต่อ website ของการรถไฟได้ที่: http://railway.co.th/ (call center: 1690)
หมายเหตุ: การเดินทางในช่วงไฮซีซั่น (ธันวาคม-เมษายน) จำเป็นจะต้องจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้าอย่างน้อย 1-2 เดือนก่อนวันเดินทาง

ที่พักที่ไหนดี
รายชื่อที่พัก

บริการที่พัก ที่พักบนเกาะพะงันจะอยู่เรียงรายตามชายหาด เกือบทั่วทุกหาด และมีหลายระดับให้เลือกตามความต้องการ และงบประมาณโดยมีราคาตั้งแต่ 300 บาท ไปจนถึง 18000 บาทต่อคืน
ชายหาด ชายหาดที่มีชื่อเสียงสวยงามและ เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวได้แก่ หาดริ้น หาดยาว หาดสลัด หาดท้องนายปานใหญ่ หาดท้องนายปานน้อย หาดเทียนตะวันตก หรือหากต้องการความเงียบสงบเป็นส่วนตัวจริงๆ หาดญวน หาดขวด หรือหาดเทียนตะวันออก ก็มีที่พักให้เลือกและไม่มีเส้นทางเข้าทางรถ ต้องเดินทางโดยทางเรือเท่านั้น



ไปเที่ยวที่ไหนดี

  • บ้านท้องศาลา
    เป็นชุมชนที่ใหญ่่ที่สุดของเกาะพะงันและเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอ สถานีตำรวจ ธนาคาร และหน่วยราชการ เป็นศูนย์รวมธุรกิจบริการ ทุกประเภท และเป็นท่าเรือสำคัญของเกาะพะงัน แต่บรรยากาศของบ้านท้องศาลา ก็ยังคงความเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในยามพระอาทิตย์ตก ในคุ้งอ่าวท้องศาลา ชาวบ้านยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมเป็นส่วนใหญ่ ประเพณีที่มีชื่อเสียงคือ ประเพณีชักพระทางน้ำ ซึ่งจัดขึ้นในราวเดือนตุลาคมของทุกปี

  • ประเพณีชักพระทางน้ำของเกาะพะงัน แตกต่างจากที่อื่น ๆ ในประเทศไทย คือจะเป็นการชักพระใทะเล คือในบริเวณอ่าวท้องศาลา และยังคงมีการอนุรักษ์ เพลงร้องเรือแบบดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น

  • เกาะแตใน
    เป็นเกาะเล็ก ๆ ตั้งอยู่ตรงข้ามกับท่าเรือท้องศาลา บริเวณรอบเกาะ มีปะการังสวยงาม ที่นักท่องเที่ยวสามารถใช้หน้ากากดำน้ำดำชมได้ ติดต่อขอเช่าเรือได้จากบริเวณท่าเรือท้องศาลา


เส้นทางบ้านท้องศาลา-หาดริ้น






  • มะพร้าวตำบลบ้านใต้
    มะพร้าวเป็นสินค้าออกที่สำคัญของเกาะพะงัน เช่นเดียวกับเกาะสมุย ส่วนใหญ่ชาวบ้านจะจ้างคนรับเหมาเก็บมะพร้าว และจะนำไปกองไว้เพื่อเผา และแกะเนื้อที่ตำบลบ้านใต้
    ดังนั้นที่ตำบลนี้จะสามารถพบเห็นการแปรรูปมะพร้าวได้โดยทั่วไป บริเวณตรงข้ามกับชายหาดบ้านใต้ เป็นที่ตั้งของลานแปรรูปมะพร้าวแหล่งใหญ่ที่สุด นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมการแปรรูปมะพร้าวได้ทุกวัน


  • ชายหาดบ้านใต้
    เป็นชายหาดที่สวยงาม มองเห็นเกาะสมุยอยู่ตรงข้าม ชุมชนบ้านใต้เป็นหมู่บ้านชาวประมงขนาดเล็ก สามารถพบเห็นวิถีชาวบ้านได้ทั่วไป


  • วัดเขาถ้ำ และพระพุทธบาทจำลอง
    ตั้งอยู่บนยอดเขาตำบลบ้านใต้ ภายในวัดมี บรรยากาศร่มรื่น สวยงาม อากาศเย็นสบาย บริเวณเนินหินที่สร้างมณฑป สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของอ่าวบ้านใต้ และท้องศาลาได้
    นอกจากนี้วัดเขาถ้ำ ยังเป็นสถานที่ฝึกอบรมวิปัสสนาสำหรับชาวต่างชาติ ที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอีกด้วย



  • วัดใน
    เป็นที่ตั้งของเจดีย์ที่เก่าแก่กว่า 300 ปี ตั้งอยู่ที่บ้านเหนือ ตำบลบ้านใต้ ลักษณะของเจดีย์ก่ออิฐถือปูน มีรูปทรงคล้ายกับเจดีย์พระบรมธาตุไชยา ที่หน้าบัณด้านหนึ่งมีลายปูนปั้นรูปยักษ์ที่ค่อนข้างสมบูรณ์







  • ต้นยางใหญ่
    เป็นต้นไม้ใหญ่อันดับสองของประเทศ เส้นรอบวงประมาณ 14 เมตร ตั้งอยู่ที่บ้านเหนือ ตำบลบ้านใต้



  • หาดริ้น
    เป็นชายหาดที่สวยที่สุด และมีชื่อเสียงของเกาะพะงัน ความยาวของชายหาดประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นสถานที่จัดงานฟูลมูนปาร์ตี้ ซึ่งจัดขึ้นทุกคืนวันเพ็ญ บริเวณชายหาด มีบังกะโลที่พักหลายแห่ง รวมทั้งสถานบริการ และร้านค้าเช่นเดียวกับสถานที่ท่องเที่ยวทั่วไป
    เส้นทางสู่หาดริ้นจากบ้านค่ายเป็นถนนซีเมนต์แต่สูงชัน และแคบ จึงควรขับรถด้วยความระมัดระวัง


  • น้ำตกธารเสด็จ
    น้ำตกแห่งนี้เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก แพร่หลายในหมู่นักท่องเที่ยวมาช้านานแล้ว ด้วยเป็นสถานที่ ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 โปรดเสด็จ ประพาสหลายครั้งหลายครา และมีกษัตริย์ราชวงศ์จักรีอีกหลายพระองค์ ได้เสด็จมาเยือนธารน้ำตกแห่งนี้
    พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง
    เสด็จประพาสธารเสด็จ
    น้ำตกธารเสด็จแตกต่างจากน้ำตกอื่น ๆ ตรงที่มีลักษณะเป็นลำธาร ไหลจากภูเขาแล้วตกมาเป็นช่วง ๆ ตามสภาพของแก่งหินแต่ละตอน เหมาะสำหรับการไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ นอกจากนี้ตามโขดหิน ในลำธารยังมีจารึกพระปรมาภิไธยย่อ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรากฎอยู่หลายจุด รวมทั้งพระปรมาภิไธยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว องค์ปัจจุบันที่ได้ทรงจารึกไว้ครั้งเมื่อเสด็จมาเยือน
    ระยะทางจากบ้านท้องศาลาไปน้ำตกธารเสด็จ ประมาณ 13 กิโลเมตร โดยแยกจากถนนท้องศาลา-หาดริ้น ที่ตำบลบ้านใต้ การเดินทางไปได้ทั้ง ทางเรือและทางรถ แต่ในฤดูมรสุม คือในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนมกราคม ไม่สามารถเดินทางไปทางเรือได้ ส่วนเส้นทางทางรถ เป็นทางลาดชันและภูเขาสูง ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ


เส้นทางท้องศาลา - บ้านโฉลกหลำ


  • วนอุทยานน้ำตกแพง
    ได้ประกาศเป็นวนอุทยานเมื่อปีพ.ศ. 2520 ภายในวนอุทยานมีน้ำตกที่ ใหญ่ที่สุดบนเกาะพะงัน คือน้ำตกแพง ซึ่งเป็นน้ำตกที่สวยงาม โดยเฉพาะในฤดูฝน จากน้ำตกหากเดินขึ้นสู่ยอดเขา ก็จะพบจุดชมวิว ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเกาะพะงันได้เกือบทั้งหมด
    ระยะทางจากบ้านท้องศาลาสู่น้ำตกแพงประมาณ 4 กิโลเมตร สามารถเหมารถแท็กซี่บริการ หรือ จะเช่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือจักรยาน เดินทางไปเองได้สะดวก




ศาลเจ้าแม่กวนอิม
ตั้งอยู่บนยอดเขาห่างจากท้องศาลาประมาณ 9 กม. เป็นที่สักการะของคนที่เดินทางผ่านไปมา เมื่อขึ้นไปถึงหน้าศาล จะ
สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของอ่าวโฉลกหลำ ซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่ง ของเกาะพะงัน ทุกปีในช่วงฤดูกินเจ จะมีชาวจีน ชาวไทยจากที่ต่าง ๆ เดินทางมาร่วมจำนวนมาก
การเดินทาง สามารถเหมารถโดยสารจากบ้านท้องศาลา หรือเช่ารถยนต์ รถจักรยานยนต์ และจักรยานเดินทางมาเองได้โดยสะดวก



  • หมู่บ้านโฉลกหลำ
    อยู่ทางทิศเหนือของเกาะพะงัน เป็นอ่าวลึกกำบังคลื่นลมในบางฤดู ได้เป็นอย่างดี ในอดีตบ้านโฉลกหลำ เป็นศูนย์กลางการประมงท้องถิ่น และเป็นที่จอดพักเรือประมงจากที่ต่าง ๆ ปัจจุบันยังคงมีการทำประมงชายฝั่ง และเป็นแหล่งผลิตสินค้าแปรรูปจากทะเล ปลอดสารพิษ เช่น ปลาเค็ม และปลาหมึกตากแห้ง ที่มีชื่อเสียงของเกาะพะงัน

ท่องเที่ยวแบบผจญภัย



เกาะพะงัน นอกจากจะมีชายทะเลที่งดงาม ไว้สำหรับพักผ่อนตากอากาศแล้ว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัย ก็ยังมีกิจกรรมต่าง ๆ ให้เลือกมากมาย


  • ดำน้ำลึก (Scuba Diving)
    เกาะพะงัน ก็เช่นเดียวกับเกาะต่าง ๆ ใกล้เคียง คือมีแหล่งดำน้ำลึกชมปะการัง และสิ่งมีชีวิตใต้ทะเล ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก ที่มีชื่อเสียงเช่น จุดดำน้ำลึกหินใบ (Sail Rock) และจุดดำน้ำลึกสำราญ (Samran Pinnacles) นอกจากนี้ ยังสามารถเดินทางไปดำน้ำยังเกาะเต่า โดยจะมีบริษัททัวร์และโรงเรียนสอนดำน้ำ จัดบริการให้ไปกลับได้ในวันเดียว
    สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ในการดำน้ำมาก่อน บนเกาะพะงัน มีโรงเรียนสอนดำน้ำอยู่หลายแห่ง ทั้งในท้องศาลา และหาดริ้น ใช้เวลาประมาณ 5 วัน ก็จะได้ประกาศนียบัตร ที่นำไปใช้เป็นใบอนุญาตดำน้ำได้ทั่วโลก ส่วนท่านที่มีประกาศนียบัตรแล้ว ท่านไม่ต้องนำอุปกรณ์ดำน้ำมาเอง เพราโรงเรียนสอนดำน้ำเหล่านี้มีอุปกรณ์ดำน้ำ ที่มีมาตรฐานให้เช่าในราคาไม่แพงนัก


  • ดำน้ำปะการังน้ำตื้น (Snorkeling)
    ดำน้ำแบบนี้ค่อนข้างจะสะดวก และเป็นอิสระกว่าการดำน้ำลึก ซึ่งค่อนข้างเสี่ยงต่ออันตรายมากกว่า เกาะพะงันมีแหล่งปะการังน้ำตื้นอยู่แทบจะรอบเกาะ แหล่งที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมกันมาก คือบริเวณเกาะม้า บ้านแม่หาด ซึ่งสามารถเดินจากชายหาด ไปถึงแนวปะการังได้ และ เกาะแตใน ซึ่งนั่งเรือไปเพียง 10 นาทีก็ถึง อุปกรณ์การดำน้ำ สามารถหาเช่าได้ จากร้านค้าในท้องศาลา หาดริ้น หรือตามบังกะโลทั่วไป
    นอกจากนี้ บริษัททัวร์บนเกาะพะงัน ยังจัดนำเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ สู่หมู่เกาะอ่างทอง อันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติอันลือชื่อ ท่านสามารถดำน้ำตื้นชมปะการังอันสวยงาม ล่องเรือชมเกาะแก่ง และเดินป่าไปยังจุดชมวิวที่น่าประทับใจ การเดินทางจากเกาะพะงันไปยังหมู่เกาะอ่างทอง ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.ครึ่ง และสามารถไปกลับได้ในวันเดียว



  • ขี่จักรยานเสือภูเขา
    เกาะพะงันมีเส้นทางที่เหมาะสม ในการขี่จักรยานท่องเที่ยวเป็นอย่างยิ่ง เพราะการจราจร บนเกาะ ไม่คับคั่งเช่นที่อื่น ๆ และยังมีเส้นทางตัดในสวนมะพร้าว ผ่านบ้านสวนของชาวบ้าน ที่ให้ร่มเงา ผ่อนคลายความร้อนจากถนนใหญ่ไปได้มาก เส้นทางเสือภูเขาบนเกาะพะงัน มีให้กับทุกระดับฝีมือของผู้ขี่ ตั้งแต่หัดเริ่มต้นแบบถนนเรียบ ไปจนถึงมือโปรที่ต้องใช้กำลังขึ้นเขา บนถนนลูกรังปนกรวดทรายเลยทีเดียว ระยะทางก็พอดีกับกำลังคือมีตั้งแต่ 5 กม.ไปจนถึง ไปกลับ 30 กม. บนเทือกเขาที่สูงชัน
    หากท่านไม่ต้องการนำจักรยานไปเอง ก็สามารถหาเช่าได้ตามร้านจักรยานให้เช่าทั่วไป ที่บ้านท้องศาลา บ้านหาดริ้น และบ้านโฉลกหลำ โดยสนนราคาก็ไม่แพงนัก เพียง80-150 บาทต่อวันเท่านั้น


  • เดินป่าแค้มป์ปิ้ง
    ป่าของเกาะพะงันยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่มาก วนอุทยานน้ำตกแพง เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินป่าแค้มป์ปิ้ง เพราะมีน้ำตกอันสวยงาม พันธุ์ไม้และนกนานาชนิด รวมทั้งสัตว์ป่าขนาดเล็กก็ยังมีอยู่ชุกชุม มีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบเกาะอยู่หลายแห่ง เช่น ที่ไม่ไกลจากตัวน้ำตกมากนัก และที่เขาหรา ยอดเขาที่สูงที่สุดของเกาะพะงัน บนยอดเขาจะมีอากาศเย็นสบาย เหมาะสำหรับการตั้งแค้มป์ รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ที่ทำการอุทยานแห่งชาติธารเสด็จ





ของดีเมืองพะงัน






ตามรอยพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสธารเสด็จ
และนามพระราชทาน





อุทยานแห่งชาติน้ำตกธารเสด็จ
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติน้ำตกแพง - จุดชมวิวโดมศิลา


ประเพณีชักพระทางน้ำ อำเภอเกาะพะงัน และเพลงชักพระ
บันทึกเรื่องวนอุทยานน้ำตกแพงโดย พระครูสุภัทรธรรมาภิรม

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิจารณ์บทึความเรื่อง 395 ปี บันทึกปินโตหลักฐานประวัติศาสตร์หรือนิยายผจญภัย

395 ปี บันทึกของปินโต : หลักฐานประวัติศาสตร์นิพนธ์หรือนิยายผจญภัย


ประวัติของปินโต
ปินโตเป็นชาวเมืองมองเตอมูร์เก่า (Montemor-o-velho) ใกล้เมืองกูอิงบรา (Coinbre) ในราชอาณาจักรโปรตุเกส ปินโตเกิดในครอบครัวยากจนระหว่างค.ศ. 1509-1512 เมื่ออายุประมาณ 10 หรือ 12 ขวบจึงต้องเป็นเด็กรับใช้ของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ในค.ศ. 1523 ชีวิตของเขาตกอยู่ในอันตรายจนต้องหลบหนีลงเรือจากเมืองกูแอ ดึ แปดรา (Cue de Pedra) การผจญภัยของปินโตเริ่มขึ้นเมื่อเดินทางไปถึงเมืองดิว (Diu) ในอินเดียในค.ศ.1538 ขณะมีอายุได้ 28 ปี เขาเดินทางกลับมาตุภูมิเมื่อวันที่ 22 กันยายน ค.ศ. 1558 รวมเป็นเวลา 21 ปีของการแสวงโชคในเอเชีย ปินโตเคยเดินทางไปในเอธิโอเปีย จีน อาณาจักรของชาวตาร์ตาร์ (Tataria) โคชินไชนา สยาม พะโค ญี่ปุ่น และหมู่เกาะอินเดียตะวันออกในน่านน้ำอินโดนีเซียปัจจุบัน
ปินโตเคยเผชิญปัญหาเรืออับปาง 5 ครั้ง ถูกขาย 16 ครั้งและถูกจับเป็นทาสถึง 13 ครั้ง ชีวิตในเอเชียของปินโตเคยผ่านการเป็นทั้งกลาสีเรือ ทหาร พ่อค้า ทูตและนักสอนศาสนา (missionary) เมื่อเดินทางกลับไปถึงโปรตุเกสในปีค.ศ.1558 เขาจึงพยายามติดต่อขอรับพระราชทานบำเหน็จรางวัล เนื่องจากได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติและศาสนาอย่างเต็มที่ แต่กลับไม่ได้รับความสนใจจากราชสำนัก ปินโตจึงไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองปรากัลป์ (Pragal)ใกล้เมืองอัลมาดา (Almada)ทางใต้ของโปรตุเกส ปินโตเขียนหนังสือชื่อ “Pérégrinação”ขึ้น และถูกตีพิมพ์หลังจากเขาถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม ค.ศ. 1583


ปินโตเคยเดินทางเข้าสยาม 2 ครั้ง (กรมวิชาการ, 2531 : 115) ครั้งแรกเข้ามาในปัตตานีและนครศรีธรรมราชก่อนค.ศ.1548 ครั้งที่ 2 เข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1534-1546) นักประวัติศาสตร์บางคนนำหลักฐานของฝ่ายไทยเข้าไปตรวจสอบความน่าเชื่อถือในเอกสารของเขาหลายประเด็น และชี้ให้เห็นความคลาดเคลื่อนของศักราชที่เขาอ้างถึง
หลังจากปินโตถึงแก่กรรม บุตรีของเขาได้มอบต้นฉบับหนังสือเรื่อง “Pérégrinação” ให้แก่นักบวชสำนักหนึ่งแห่งกรุงลิสบอน ต่อมากษัตริย์ฟิลิปที่ 1 (Philip I of Portugal,1581-1598 และทรงเป็นกษัตริย์ฟิลิปที่ 2 แห่งสเปน - Philip II of Spain,1556-1598) ทรงได้ทอดพระเนตรงานนิพนธ์ชิ้นนี้ บุตรีของปินโตจึงได้รับพระราชทานบำเหน็จรางวัลแทนบิดา
งานเขียนของปินโตตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1614 และแปลเป็นภาษาต่างๆ อาทิ ภาษาฝรั่งเศส (1628) ภาษาอังกฤษ (1653) ใน ค.ศ.1983 กรมศิลปากรได้เผยแพร่บันทึกของปินโตบางส่วนในชื่อ “การท่องเที่ยวผจญภัยของแฟร์นังด์ มังเดซ ปินโต ค.ศ1537-1558” แปลโดยสันต์ ท. โกมลบุตร ต่อมากรมศิลปากรร่วมกับกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการได้ตีพิมพ์ผลงานบางส่วนของเขาออกเผยแพร่อีกครั้งใน ค.ศ.1988 โดยแปลจากหนังสือชื่อ “Thailand and Portugal : 470 Years of Friendship”


คุณค่าทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับราชอาณาจักรสยาม


บันทึกของปินโตนับเป็นเอกสารสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องราวส่วนหนึ่งเกี่ยวกับทรัพยากร การทหาร วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ กฎหมายและเรื่องราวในราชสำนักสยามกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และมักจะถูกอ้างอิงเสมอเมื่อกล่าวถึงบทบาททางการทหารของชุมชนโปรตุเกสในรัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ค.ศ.1543-1546) เมื่อเกิดศึกระหว่างสยามกับเชียงใหม่ขึ้นใน ค.ศ.1548 (พ.ศ.2091) ปินโต กล่าวว่า


“ชาวต่างประเทศทุกๆชาติที่ไปร่วมรบกับกษัตริย์สยามนั้นต่างก็ได้รับคำมั่น
สัญญาว่าจะได้รับบำเหน็จรางวัล การยกย่อง ผลประโยชน์ ความชื่นชมและเกียรติยศชื่อเสียง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะได้รับอนุญาตให้สร้างโบสถ์เพื่อการปฏิบัติศาสนกิจในแผ่นดินสยามได้....” การเข้าร่วมรบในกองทัพสยามครั้งนั้นเป็นการถูกเกณฑ์ หากไม่เข้าร่วมรบก็จะถูกขับออกไปภายใน 3 วัน ด้วยเหตุนี้จึงมีชาวโปรตุเกสถึง 120 คน จากจำนวน 130 คน อาสาเข้าร่วมรบในกองทัพสยาม เหตุการณ์ดังกล่าวถูกบันทึกไว้ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่าเป็นศึกเมืองเชียงกรานซึ่งเกิดขึ้นในค.ศ.1538 (พ.ศ.2081) คลาดเคลื่อนไปจากที่ระบุในหลักฐานของปินโต 10 ปี แม้ว่าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจะทรงอ้างจากหนังสือของปินโตก็ตาม
ทหารโปรตุเกสจำนวน 120 คนซึ่งสมเด็จพระไชยราชาธิราชทรงจ้างเป็นทหารรักษา
พระองค์(bodyguards)ได้สอนให้ชาวสยามรู้จักใช้ปืนใหญ่
ดร.เจากิง ดึ กัมปุชชี้ว่า บทบาทของทหารอาสาชาวโปรตุเกสในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชอาจส่งผลให้มีการเริ่มปรับปรุงตำราพิชัยสงครามภายใต้การช่วยเหลือของที่ปรึกษาชาวโปรตุเกส จนเป็นที่มาของการตั้ง “กรมทหารฝารั่งแม่นปืน” ใน หนังสือ“ศักดินาทหารหัวเมือง” ซึ่งประกอบด้วยทหารเชื้อสายโปรตุเกสจำนวน 170 นาย จนถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ใกล้เคียงกับจำนวนของทหารอาสาโปรตุเกส 120 คน ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช

หลักฐานของปินโตกับปัญหาในการศึกษาชุมชนโปรตุเกสสมัยอยุธยา

หากนักเรียนประวัติศาสตร์คนใดจะนำงานเขียนของปินโตมาใช้ในการตรวจสอบเรื่องราวเกี่ยวกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายโปรตุเกส ความสัมพันธ์ของคนภายในค่าย ความสัมพันธ์ระหว่างค่ายโปรตุเกสกับราชสำนักอยุธยา ความสัมพันธ์ระหว่างค่ายโปรตุเกสกับมะละกา กัว มาเก๊า และราชอาณาจักรโปรตุเกส รวมไปถึงอาชีพ จำนวนคนและความเป็นอยู่ในค่ายโปรตุเกสสมัยอยุธยา ก็อาจจะต้องใช้ความพยายามในการศึกษาและวิเคราะห์หลักฐานชิ้นนี้มากพอสมควร ปินโตระบุว่านักสอนศาสนาก็จำเป็นต้องเผยแพร่ศาสนาภายใต้นโยบายของราชสำนักหรือผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งเมืองกัวเช่นเดียวกับข้าราชการทั่วไป เมื่อนักบุญฟรานซิส ซาเวียร์(St. Francis Xavier)จะออกไปเผยแพร่ศาสนาในญี่ปุ่น ท่านก็ต้องเดินทางจากมะละกาไปยังกัว เพื่อรับฟังนโยบายของผู้สำเร็จราชการโปรตุเกสแห่งอินเดียเสียก่อน (กรมศิลปากร, 2526 : 35) การที่ปินโตเคยเป็นทูตของข้าหลวงโปรตุเกสแห่งมะละกาไปยังรัฐต่างๆในภูมิภาคแถบนี้ อีกทั้งยังเคยเป็นทหารและนักสอนศาสนาของโปรตุเกสด้วย เขาจึงน่าจะเป็นบุคคลที่มีเกียรติพอที่จะได้รับความเชื่อถือจากผู้มีฐานะเป็นศัตรูชาติโปรตุเกสในยุโรปหรือแม้แต่ชาวโปรตุเกสบางคน แต่เขาก็ไม่เคยถูกนักประวัติศาสตร์โปรตุเกส อาทิ ดูอาร์ตึ บาร์บูซา(Duarte Barbosa) จูอาว ดึ บารอส(João de Baros )และคาสปาร์ คอร์รีอา(Caspar Correa)เสียดสีเลยแม้แต่น้อย


สรุป

งานนิพนธ์ของปินโตมีคุณค่าในทางประวัติศาสตร์มากกว่าจะถูกมองว่าเป็นเพียงวรรณกรรมประโลมโลกหรือนิยายผจญภัยของกลาสีเรือ แม้เนื้อหาบางตอนจะดูตื่นเต้นเร้าใจเกินกว่าจะมีความสมจริงตามทัศนะของนักประวัติศาสตร์ แต่ในสภาวะที่ยุโรปเพิ่งจะพ้นจากยุคแห่งการจุดไฟเผาหญิงสาวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและยังคงเคร่งต่อจริยธรรมทางศาสนา มีใครบ้างที่จะกล้าเปิดเผยต่อสาธารณชนว่าตนเองเคยรับประทานเนื้อมนุษย์เพื่อประทังชีวิตกลางทะเลหลังจากถูกโจรสลัดโจมตี ข้อถกเถียงในงานของปินโตอาจจะมีอยู่ไม่น้อย แต่มีหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นใดบ้างที่ปราศจากคำถามและความเคลือบแคลง งานของปินโตถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความแม่นยำของศักราชก็เพราะบันทึกของเขาเป็นเอกสารที่เขียนขึ้นจากความทรงจำเมื่อเขาเดินทางกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในโปรตุเกสระยะหนึ่งแล้ว